จากบราซิลถึงรังสิต … ชีวิตไม่มี “กั๊ก” วีรยุทธ จิตรขุนทด

 

เด็กบ้านนอกฝันไกล ประสบการณ์หาซื้อไม่ได้ที่บราซิล แชมป์ประวัติศาสตร์กับยาสูบ เกิดใหม่ในวัย 30 กับ อาชาผยอง และนี่คือเรื่องราวผ่านประสบการณ์ชีวิตจริงของ “กั๊ก” วีรยุทธ จิตรขุนทด

อยากสูงต้องเขย่งอยากเก่งต้องขยัน

 

เด็กจากนครสวรรค์ที่ออกผจญภัยในโลกลูกหนังตั้งแต่จำความได้ โดยมีศาสตร์ลูกหนังที่มีคุณลุงแท้ๆ ถ่ายทอดให้ทำให้ “กั๊ก” มีความอดทน พยายาม และไม่เคยกลัวลำบาก ตั้งแต่นั้น และเป็นใบเบิกทางสู่โรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี ในเวลาต่อมา

 

“คุณลุง อ.ทวี จิตขุนทด ฝึกให้ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนกีฬาสุพรรณ ซึ่งเข้ายากมาก คุณภาพล้วนๆ คัด 2000-3000 คน เอา 5 คน เอา 10 คน คือผมโดนปลูกฝังแต่เด็ก ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ไปวิ่งทุกครั้งผ่านป่าช้า ตอนแรกก็กลัว หลังๆ เริ่มชิน ซึ่งผมทำแบบนั้นทุกวัน โดนปลูกฝัง ผมก็เลยมีความอดทน มีความพยายาม ก็เลยไม่เคยกลัวเหนื่อย พอมาถึงจุดนี้ก็เป็นปกติของผมที่พยายามทำทุกอย่าง โตมาเพราะฟุตบอล”

 

“กั๊ก” ห่างบ้านตั้งแต่แค่ 10-11 ขวบ แต่ด้วยคุณสมบัตินักสู้ที่ติดตัวมาทำให้เขาปรับตัวเข้ากับ รร.ประจำ ได้อย่างไร้ปัญหาพร้อมกวาดความสำเร็จกับสถาบันมากมาย ไล่จาก บอลนักเรียน แล้วก็ติดทีมชาติไล่มาตั้งแต่ 12 ปี 14 ปี 16 ปี ชุดชิงแชมป์เอเชีย กระทั่งติดทีม 18 ปีนักเรียนไทย

 

ครั้งหนึ่งในชีวิตพิชิตแดนลูกหนัง

บรรยากาศการเชียร์ของสาวกเซาเปาโล Cr.São Paulo FC

 

 

 

ด้วยความสามารถที่ไม่ธรรมดา ส่ง “กั๊ก” ได้ทุนเรียนต่อในเมืองหลวง กับ ม.กรุงเทพ พร้อมกับเล่นฟุตบอลไปด้วยกับ คริสเตียนไทย ทีมสมัครเล่นในถ้วยพระราชทาน ข. ภายใต้การบริหารงานของ บริษัทไอแอมสปอร์ต ร่วมกับสโมสรเซาเปาโล ที่มี โจเซ่ อัลเวส บอร์จีส กุนซือบราซิเลี่ยนรับหน้าที่กุนซือ

 

บริษัทไอแอมสปอร์ต มีแผนส่งเด็กไทยฝีเท้าดีไปฝึกปรือฝีเท้าที่สโมสรเซาเปาโล ประเทศบราซิล ในทีแรก “กั๊ก” ไม่มีชื่อในกลุ่มที่ได้ตั๋ว ทว่าผู้ถูกเลือกชุดแรกพากันปฏิเสธ ประกอบกับ บอร์จีส เห็นความตั้งใจ อยู่ง่ายกินง่ายของปีกขวาร่างเล็กรายนี้ กระทั่ง “โอกาส” ถูกหยิบยื่นมาตรงหน้าเขา ร่วมกับ อิทธิพล พูลทรัพย์

 

“ตอนนั้นเรียนที่ ม.กรุงเทพ เกรดผมโอเคอยู่นะ แต่โอกาสมาแบบนี้ ผมไม่คิดเยอะขอลาออกเลย เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่บราซิลมันไม่ได้มีมาบ่อยๆ อาจเป็นแค่ครั้งหนึ่งในชีวิต มันอาจเป็นใบเบิกทางไปเล่นยุโรป เล่นเจลีก โชคดีทางมหาลัยสนับสนุนให้พักเรียนไว้ก่อน … ผมอยากไปตามหาความฝัน”

 

แม้ต้องปรับตัวไม่น้อยกับชีวิตในต่างแดน แต่ด้วยความที่ “กั๊ก” เป็นคนไม่ติดบ้านตั้งแต่จำความได้ ทำให้การปรับตัวไม่ใช่เรื่องลำบากนัก ช่วงเวลาที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองทั้งเขา และเพื่อนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ การฝึกซ้อมที่เข้มข้น อย่างมาก

 

“โชคดีมีเพื่อนเลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องภาษาเท่าไหร่ ส่วนการฝึกซ้อมก็ไม่มีปัญหาอะไร การอยู่การกินผมก็กินง่ายๆ อยู่แล้ว ขอให้ได้ฝึกซ้อม แล้วคนไทยบอกเลยว่าสู้ได้ ต้องขอบคุณบอร์จีสให้โอกาสไป เราก็ไปลุยแบบงูๆ ปลาๆ ลุยกันแบบลูกทุ่ง ซึ่งมันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากจริงๆ”

 

อย่างไรก็ตามแผนอยู่ซ้อมที่ดินแดนลูกหนัง 1 ปี ต้องพับลงเมื่อ โจเซ่ อัลเวส บอร์จีส ได้รับงานที่ยาสูบ และแข้งทุนทั้งสองรายต้องบินกลับมาแผ่นดินเกิด เป็นอันว่าสิ้นสุดการผจญภัยไว้แค่ครึ่งปีเท่านั้น

 

เทพนิยายยาสูบ

บอร์จีส ครั้งหนึ่งเคยสร้างปรากฎการณ์กับยาสูบ

ในปีแรกที่ บอร์จีส เข้าคุมทีม เขาเปลี่ยนสถานะจากท้ายตาราง สู่ แชมป์แรก และแชมป์เดียวของสโมสรได้อย่างเหลือเชื่อ วีรยุทธ จิตรขุนทด แข้งในคาถาที่ร่วมขบวนการนั้นด้วยเผยว่า กุนซือคนนี้มั่นใจตั้งแต่เริ่ม และสุดท้ายก็ทำได้จริงๆ

 

“บอร์จีสเชื่อว่าปีนั้นยาสูบจะได้แชมป์ และเขาก็ทำได้จริงๆ ผมเคารพเหมือนพ่อผมอีกคนหนึ่งนะ เขาให้ทัศนคติ ให้ความคิด ให้ประสบการณ์ผมเยอะมาก ก็ยังไม่ได้มีโอกาสขอบคุณเขาจริงๆ จังๆ สักที”

 

แชมป์ประวัติศาสตร์เป็นใบเบิกทางให้ “กั๊ก” ได้ไปต่อกับอีกหลายสโมสร บุรีรัมย์ พีอีเอ, บุรีรัมย์ เอฟซี, สงขลา ยูไนเต็ด, แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี และกระบี่ เอฟซี เช่นกันกับในฟุตบอลถ้วยในระดับเอเชีย รวมถึงประสบการณ์ในนามทีมชาติ

 

อย่างไรก็ตามชีวิตมีขึ้นก็มีลง เมื่ออายุอานามมากขึ้น จากบทบาทริมเส้นตัวรุก ก็ค่อยๆ ถอยมาเป็นวิงแบ็ก เช่นกันกับโอกาสลงสนามที่ค่อยๆ ลดน้อยลงเป็นเงาตามตัว

 

เสียงตามสายจากเพื่อนเก่า

"โค้ชแบงค์" เพื่อนเก่าผู้จุดไฟในตัว วีรยุทธ กลับมาอีกครั้ง

คล้ายว่าจะหมดยุคของ วีรยุทธ จิตรขุนทด ที่ชื่อเริ่มถูกกลืนโดยแข้งหนุ่มคลื่นลูกใหม่ลูกแล้วลูกเล่า ทว่าวันหนึ่งเสียงตามสายจากทางไกลก็ดังขึ้นเมื่อ ดำรงศักดิ์ บุญม่วง เพื่อนเก่าอดีตนักเตะร่วมรุ่นสมัยเรียน โรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ผันตัวเป็นกุนซือ ม.นอร์ทกรุงเทพ โทรมาถามสารทุกข์สุขดิบ โดยใจความสำคัญคือชวนกันมาร่วมงานกัน

 

“กั๊ก” ตอบรับงานในลีกล่างโดยไม่ลังเล เพื่อหวังนำประสบการณ์ที่มีถ่ายทอดสู่รุ่นน้องให้มากที่สุด ด้วยวัยวุฒิ และคุณวุฒิที่เพียบพร้อม เขารับสัมปทานปลอกแขนกัปตันทีมทัพ “อาชาผยอง” นอกสนามเขาคือเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับกุนซือ ที่คอยเป็นตัวกลางในการเชื่อมความเข้าใจในทีมถึงสตาฟฟ์โค้ช ส่วนในสนามเขาคือ “ลูกพี่ใหญ่”

 

คงเปรียบได้กับขิง ที่เมื่อยิ่งแก่มันก็ยิ่งเผ็ดร้อนขึ้น “กั๊ก” แสดงให้เห็นถึงชั้นบอลที่ยังเล่นอาชีพได้สบาย ยิ่งได้เล่นท่ามกลางเด็กหนุ่มในทีม ม.นอร์ทกรุงเทพ ก็ยิ่งเฉิดฉาย แม้อายุอานาม 34-35 แล้ว แต่ตลอด 2 ฤดูกาลที่พา “อาชาผยอง” พุ่งชนความสำเร็จ แชมป์ไทยลีก 4 โซนกรุงเทพ 2 สมัย และอันดับที่ 3 ไทยลีก 4 รอบแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สิทธิ์เลื่อนชั้น สู่ไทยลีก 3 แข้งเจ้าของส่วนสูง 160 เศษไม่ได้ลงสนามแทบนับครั้งได้ และในเรื่องมาตรฐาน และการยืนระยะตลอด 90 นาทีไม่ใช่ปัญหาที่ “กั๊ก” เคยเจอ

 

“ผมอยากพิสูจน์ตัวเอง มีคนถามเยอะเมื่อไหร่จะเลิกเล่น เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันก็เลิกไปแทบหมดแล้ว เอาใกล้ตัวที่ ม.นอร์ทกรุงเทพ โค้ชก็เพื่อนผม สตาฟฟ์ก็เพื่อนกัน เหลือแต่ผมที่ยังอยากเล่นฟุตบอลต่อไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าด้วยสภาพร่างกายเราอาจโรยลงไปบ้าง ฉะนั้นเราต้องซ้อมให้มากกว่า ดูแลตัวเองให้มากกว่า น้องๆ ที่ยังหนุ่ม ซึ่งทุกวันนี้ผมยังสนุก และไม่ได้คิดเรื่องแขวนสตั๊ดเลย”

 

จดหมายถึงรุ่นน้อง

ยังคงเป็นกำลังสำคัญให้ทีม ม.นอร์ทกรุงเทพ เสมอ

ในบางช่วงบางตอนของบทสัมภาษณ์ แข้งไทยที่ครั้งหนึ่งเคยไปบุกเบิกฝึกซ้อมถึงประเทศบราซิล ย้ำบ่อยครั้งว่าทักษะความสามารถของนักฟุตบอลไทยไม่ได้แย่เลย แค่ปรับในเรื่องทัศนคติความคิด และกล้าๆ ที่จะออกจากคอมฟอร์ทโซนกันเสียบ้าง

 

“ผมมองว่าคนไทย นักบอลไทยเก่งหลายคนนะ แต่อาจจะยังติดบ้าน ผมว่าเป็นปัญหาใหญ่ ถ้าคุณอยากเป็นนักบอลอาชีพจริงๆ คุณต้องออกนอกกรอบ คุณต้องออกจากบ้าน คุณต้องไปหาความฝัน คุณถึงจะเจอ ถ้าคุณยังติดบ้าน คุณจะไม่โต ยุคนี้น่าจะไปได้ไกลกว่าเดิมมาก เพราะว่ามีคนปูทางไว้พอสมควรแล้ว อีกทั้งผู้ใหญ่ในวงการให้ความสำคัญ และสนับสนุนมากขึ้น มีช่องทางมากขึ้น ก็อยู่ที่ว่าคุณจะพาตัวคุณเดินไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง"