เทพฟรีคิกลีกล่าง .. นพรัตน์ อุไรแข

นครราชสีมา ห้วยแถลง ได้ฟรีคิก “เจ้าปอง” นพรัตน์ อุไรแข นำบอลมาตั้งอย่างบรรจง ถอยหลังให้ได้ระยะบังคับการ และวิ่งเข้าไปหวดเต็มข้อ บอลพุ่งโค้งเข้าสุกก้นตาข่าย นี่คือภาพคุ้นชินที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นับเฉพาะแค่ในศึกไทยลีก 4 รอบ ชปล. ก็คายพิษสงแล้ว 2 ครั้ง นี่ยังไม่นับในฤดูกาลปกติ ที่ผู้รักษาประตูหลายต่อหลายคนเคยเสียท่ามาแล้ว ไม่ว่าจากระยะไหนก็ตาม นี่คือเรื่องราวของ เทพฟรีคิกลีกล่าง ที่ยากจะหาใครเทียบ

 

 

“เจ้าปอง” เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่อยู่ชั้นประถม 3 ในรั้ว รร.พระครูวิทยา จ.บุรีรัมย์ ซึ่งคุณพ่อของเขาเฝ้าดูพัฒนาการของลูกน้อยมาโดยตลอด กระทั่งจบชั้นประถม 6 คุณพ่อได้อ่านหนังสือพิมพ์จึงทราบว่า รร.กฤชานันท์ จ.อุดรธานี เปิดคัดตัวโครงการฟุตบอล ด้วยความที่อยากเอาดีด้านในกีฬาลูกหนังจริงจัง บวกการสนับสนุนของทางบ้าน เขาได้ทุนเรียนที่โรงเรียนกินนอนที่ รร.กฤชานันท์ ที่นี่เขาได้ลงเล่นในนามสถาบันหลายรายการ และแน่นอนทักษะลูกหนังก็พัฒนาขึ้นตามไปด้วย

 

 

ย่างเข้าสู่มัธยมปีที่ 3 อายุได้ 15 ปี คุณพ่อได้ข่าวคราวว่า รร.จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ชลบุรี มีเปิดคัด จึงหอบหิ้วลูกชายสุดที่รักไปลองฝีเท้าไกลถึงเมืองชล ซึ่งด้วยคุณภาพฝีเท้าที่โตเกินวัย ไม่น่าแปลกใจที่ “โค้ชเหลา” กนกศักดิ์ เตี๊ยะเหมือน ที่รับหน้าที่กุนซือใหญ่ในรุ่น 15 ปี อ้าแขนรับเด็กบุรีรัมย์คนนี้เข้าสู่รั้วอะคาเดมี่

 

 

อย่างไรก็ตาม รร.จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ชลบุรี ยุบโครงการกีฬาฟุตบอลลงในปีถัดมา ทำให้เด็กในโครงการถูกแบ่งแยกไปตามคุณภาพฝีเท้า ซึ่ง “เจ้าปอง” ได้ไปต่อที่ รร.อัสสัมชัญ ศรีราชา รุ่นราวคราวเดียวกับ นูรูล ศรียานเก็ม, พุทธินันท์ วรรณศรี, ชนินทร์ แซ่เอียะ

 

 

ที่นี่เขาได้เปิดประสบการณ์ลูกหนังที่มีการแข่งขันสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อบายมุขต่างๆ กลับฉุดรั้งเขา และส่งให้ถูกไล่ออกจากสถาบันในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสามารถของเขา เป็น รร.ชลราษฎรอำรุง ที่อ้าแขนรับมาปลุกปั้นต่อ ที่นี่เขาร่วมเล่นกับ อธิบดี เอติรัตน์, อดิศักดิ์ หาญเทศ ฯลฯ

 

 

“เจ้าปอง” เล่าว่า “ช่วงนั้นหลังจากที่โดนไล่ออกจากสถาบันฯ ก็ทำให้คิดได้ครับ ว่าทำให้คุณพ่อผิดหวัง เขาอุตส่าห์ผลักดันเข้าสู่โรงเรียนดีๆ ได้แล้ว แต่เรากลับทิ้งโอกาส มันทำให้หลังจากนั้นผมมุ่งมั่นขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะแก้ตัวให้คุณพ่อกลับมาภูมิใจในตัวเราอีกครั้ง”

 

 

เมื่อทุกอย่างกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้ง ช่วงรอยต่อระดับชั้นมัธยม 5-6 ด้วยความที่เขาอยากก้าวสู่ลีกอาชีพให้เร็วที่สุด โดยไม่รอโอกาสจากต้นสังกัดชลบุรี เอฟซี “เจ้าปอง” และพรรคพวกส่วนหนึ่งเลือกลองไปคัดพัทยา ยูไนเต็ด U19 ด้วยความที่เป็นปีกความเร็วสูง บวกกับคุณภาพการจบสกอร์ที่ไว้ใจได้ “โค้ชบู” ชำนาญ แพรขุนทด กุนซือ “โลมาพิฆาต” รุ่นเยาวชนในเวลานั้น ก็ดึงตัวสู่ทีมทันที แน่นอนเขาไม่ปฏิเสธโอกาส และเลือกพักเรื่องเรียนเอาไว้เท่านี้

 

 

ในสีเสื้อ พัทยา ยูไนเต็ด U19 “เจ้าปอง” ได้ลงรับใช้ทีมในหลายรายการ และเกือบๆ จะได้ไปโชว์ฝีเท้าในทีมชุดใหญ่แล้วด้วยซ้ำ ในเกมอุ่นเครื่องกับ แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล (ดิวิชั่น 1) ในเวลานั้น แต่ตนกลับบอกปัดโอกาสนั้นไป “คือตอนนั้นยอมรับว่าตัดสินใจพลาดมากครับ ทางทีมใหญ่ให้ขึ้นไปช่วยในเกมอุ่นเครื่อง แต่เราเลือกขอช่วยเล่นกับทีม U19 ไปก่อน อีกครั้งคือตอนที่ โค้ชวัง (ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล) ที่ย้ายไปคุม อินทรี เพื่อนตำรวจ ก็ชวนเราไปอยู่ด้วย แต่เพราะเรายังไม่จบภารกิจกับ พัทยา ยูไนเต็ด เราเลยเลือกปฏิเสธไป”

 

 

เมื่อโอกาสหลุดลอยไป โอกาสขึ้นทีมชุดใหญ่หลังจากนั้นก็ยังไม่เกิดขึ้นอีก ทำให้ในปี 2012 โกลเบล็ก เอฟซี ที่บังเอิญมาอุ่นเครื่องกับ พัทยา ยูไนเต็ด U19 ด้วยความที่ประทับใจในฟอร์มการเล่นของ “เจ้าปอง” เลยทำให้ จ่าไพฑูรย์ บุญศรี กุนซือทัพ “เจ้าพ่อตลาดหุ้น” ในเวลานั้น ถือโอกาสชักชวนไปช่วยทีม เขาไม่รอให้ “โอกาส” ผ่านมาแล้วผ่านไปอีกแล้ว เขาเลือกตอบรับ และย้ายไปเล่นอาชีพในปีนั้นในที่สุด

 

 

ประสบการณ์ปีแรกในลีกอาชีพไม่ได้หอมหวาน “เจ้าปอง” ได้รับค่าตอบแทนจากการเล่นฟุตบอลอาชีพแบบเดือนเว้นเดือน แต่ด้วยความที่มี นวพล ใจมั่น รุ่นพี่จากรั้วรร.อัสสัมชัญ ศรีราชา คอยช่วยเหลือ และดูแล ทำให้เขากัดฟันผ่านขวบปีแรกไปได้ ด้วยผลงานที่เพียงพอให้ ไทยฮอนด้า เอฟซี ทีมยักษ์ใหญ่ใน ดิวิชั่น 2 โซนกรุงเทพฯ ยื่นข้อเสนอดึงเข้าสู่ทีม พร้อมๆ กับ สันติภาพ ราชนิยม

 

 

ภายใต้การคุมทีมของ อภิรักษ์ ศรีอรุณ เด็กหนุ่มวัย 21 ปี ประสบความสำเร็จทั้งในสนาม (คว้าแชมป์โซน, เล่นรอบ ชปล. และเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1) และนอกสนามอย่างรวดเร็ว “เจ้าปอง” ไม่ทันได้ระวังเรื่องการใช้เงินเขาออกรถเก๋งป้ายแดงคันงามทันที ฟ้าก็ผ่าตอนกลางวันจนได้ เมื่อเขาไม่อยู่ในแผนการเล่นของทีมอีกต่อไป ในการลุย ดิวิชั่น 1 เขาเคว้งคว้าง และกลับมาเล่นกับสโมสรฯ แถวบ้านเกิดอย่าง สุรินทร์ ซิตี้ ในปี 2014 อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนชีวิตมาอีกครั้งเมื่อเขาจับได้ใบแดง ต้องไปเป็นทหารเกณฑ์

 

 

“ระหว่างที่อยู่ในค่ายทหาร ผมเฝ้ารอโอกาสที่จะกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง พอฝึกเสร็จขึ้นกองร้อย ก็ขอตัวออกมาเลยครับ เราหายไปเกือบปี ก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่หมด มีคัดที่ไหน ผมไปหมด เพื่อโอกาสในการเล่นฟุตบอลอีกครั้ง” นพรัตน์ ที่เปรียบตัวเองเป็นดั่งหมาล่าเนื้อ ตระเวนค้าแข้งกับหลายสโมสรฯ อาทิ ปทุมธานี ซีคเคอร์, ทีจี ระยอง, พะเยา เอฟซี, หนองคาย เอฟที ซึ่งระหว่างทางนั้นล้วนมีเรื่องราวทั้งที่น่าจดจำ และไม่น่าจดจำ

 

 

กระทั่งได้มาร่วมงานกับ “โค้ชวิน” ชวภณ กมลศิลป์ กุนซือ อำนาจ โปลี ยูไนเต็ด ในช่วงเปลี่ยนผ่านระบบแข่งขัน และมีส่วนสำคัญในการพาทัพ “มดมัจจุราช” ขยับขึ้นไปสู่ไทยลีก 3 ได้สำเร็จ เขาได้รับการต่อสัญญา และอยู่ค้าแข้งต่อไปอีก 1 ปีเต็มทุกอย่างดูไปได้สวยเมื่อ “เจ้าปอง” ที่เริ่มลงหลักปักฐาน บวกภรรยาสาว และลูกน้อย แต่ทันใดนั้นบททดสอบชีวิตก็เกิดกับเขา และครอบครัวอีกครั้ง เมื่อสโมสรฯ ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนขอพักทีมในปี 2018

 

 

“ตอนนั้นเราหาทีมไม่ทันแล้วครับ ไหนจะครอบครัวผมด้วยที่ต้องดูแล ผมตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านที่ จ.บุรีรัมย์ ผมคุยกับตัวเองครับว่าคงต้องพักฟุตบอลไปก่อน เราต้องดูแลครอบครัว ก็ยังดีที่ทางโรงเรียนประถมเก่าของผมให้เข้าไปขายของ ก็ไม่ได้มีกำไรอะไรครับ แค่พออยู่พอกิน และพอซื้อนมให้ลูกได้ในแต่ละเดือน”

 

 

ผ่าน 1 ปีเต็มที่เขาต้องรับบทหัวหน้าครอบครัว โดยที่ไม่ได้ทำสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในชีวิต นั่นคือ “เล่นฟุตบอล” แน่นอนตลอดระยะเวลาเขายังคงคิดถึงบรรยากาศในสนาม แม้จะได้เตะฟุตบอลเดินสายบ้าง แต่มันต่างกัน เมื่อบวกกับการได้ดูเพื่อนๆ เล่นผ่านทางจอโทรทัศน์ ข้างในหัวใจเขาร้ำร้องให้กลับมาสู่เส้นทางลูกหนัง “อีกครั้ง”

 

 

ครอบครัว และภรรยา ก็ทราบดีว่า “เจ้าปอง” อยากกลับมาเล่นฟุตบอลแค่ไหน และพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเขาย้ำว่ากับครอบครัวว่าขอโอกาสลองดูอีกแค่ครั้งเดียวถ้ามันพลาดก็จะพอจริงๆ  “เจ้าปอง” ตัดสินใจต่อสายโทรปรึกษากับ “โค้ชบู” ชำนาญ แพรขุนทด ที่แนะนำให้ไป นครราชสีมา ห้วยแถลง

 

 

“ผมขับมอเตอร์ไซค์ไปห้วยแถลง ประมาณ 70 กิโลฯ ไปคนเดียว เพื่อโอกาสนี้ หลังจากที่ได้ลองทดสอบฝีเท้า 2-3 วันทางสโมสรฯ โอเค อยากได้เรามาช่วยพาทีมหนีตกชั้น ผมตอบตกลงเลยครับ เงินเดือนมันไม่ได้มากมาย แต่มันก็พอช่วยเหลือทางบ้านได้บ้าง” ร้างสนามไป 1 ปี แต่กลับมาคราวนี้เขามุ่งมั่นกว่าเดิม ด้วยกำลังใจที่ดีจากครอบครัว นพรัตน์ กดคนเดียว 9 ประตูใน 1 เลก ช่วยทัพ “หัวจักรพิฆาต” รอดตกชั้นสำเร็จ

 

 

หลังจากจบฤดูกาลก่อนด้วยผลงานที่ดี ทำให้รุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาสมัยที่ค้าแข้งกับ อำนาจ โปลี ยูไนเต็ด อย่าง ปรีชา ซูซูกิ ชักชวนให้ไปเล่นภูพานราชนิเวศ ด้วยกัน ก่อนชวนกันไปค้าแข้งที่ ลำพูน วอริเออร์ ในเวลาต่อมา “เจ้าปอง” ที่เฝ้ารอโอกาสขยับขึ้นไปค้าแข้งในระดับสูงขึ้นไม่ปฏิเสธโอกาสครั้งนี้ เขาเลือกมาลานายเก่า “บิ๊กกอล์ฟ” อัฐพงศ์ เกษเมธีการุณ ที่นครราชสีมา ห้วยแถลง ยูไนเต็ด เพื่อโอกาสเติบขึ้นของตน

 

 

เขาหอบหิ้วครอบครัว และฝันใหม่ขึ้นไปที่ ลำพูน ทว่าเหมือนชีวิตเล่นตลกกับเขาอีกครั้ง เมื่อมีการเปลี่ยนมือผู้บริหาร ลำพูน วอริเออร์ โดยที่มีทาง “บอสต้น” ศิริพงษ์ ฐาราชวงศ์ศึก เข้ามาบริหารงานแทน โดยที่กุนซือแต่งตั้งเอา “โค้ชปอนด์” จงสฤษดิ์ วุฒิช่วย บวกกับกลุ่มผู้เล่นที่กุนซือใหม่หนีบมาด้วย แต่อย่างไรก็ตามเขาเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพที่มี เขาน่าจะยังมีที่ยืนในทัพ “ราชันขาว”

 

อย่างไรก็ตามฟ้าผ่าใส่เขาเป็นครั้งที่ 3 เมื่อ “เจ้าปอง” คือคนสุดท้ายที่ถูกตัดทิ้งจากแผนทำทีมแบบสุดช็อค เขาไม่มีทางเลือกนัก ด้วยเงื้อนของเวลาที่กระชั้นจวนจะเปิดฤดูกาล “เจ้าปอง” ตัดสินใจโทรหา “โค้ชน้อย” บัณฑิต จูมผา ที่ปีนี้ขยับมารับงานกุนซือเต็มตัว โชคยังดีเมื่อ “หัวจักรพิฆาต” ยังไม่สามารถหาใครมาแทนที่เขาได้

 

Cr.ISAN Sports

 

“บอสต้น” ผู้จัดการทีมลำพูน วอริเออร์ ที่ใจก็อยากเก็บแข้งรายนี้เอาไว้ แต่ด้วยความที่กุนซือใหญ่ตัดสินใจแล้วเขาจึงเลือกปล่อยแบบยืมตัวสู่ นครราชสีมา ห้วยแถลง ยูไนเต็ด อีกครั้ง และอย่างที่ทุกคนทราบกัน “เจ้าปอง” กลับมาเล่นฟุตบอลด้วยความสนุก ด้วยความที่สโมสรฯ ไม่ได้ไกลจากบ้านนัก ทำให้เขาสามารถดูแลครอบครัว และคุณพ่อคุณแม่ ได้อย่างเต็มที่

 

 

“ผมเป็นคนรักฟุตบอลมากครับ ผมมีความสุขในการเล่นฟุตบอล วันนี้ผมเริ่มอายุมากขึ้น ผมผ่านทั้งจุดที่ผิดพลาด และภูมิใจในชีวิตมา ผมก็ยังหวังครับสักวันผมจะได้ขึ้นไปเล่นในระดับไทยลีก 2 หรือไทยลีก ให้ได้ แต่ถ้าไม่ถึงอย่างน้อยๆ ผมก็มีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ มีความสุขกับครอบครัวผม” นพรัตน์ อุไรแข มองตัวเองผ่านเรื่องราว และชีวิตที่ยังยิ้มได้ในวันนี้