อดิศักดิ์ ดวงศรี : ชีวิตสุดโลดโผน เจ้าของฉายา ชิลาเวิร์ตเมืองไทย

จากความบังเอิญสู่บทบาทผู้รักษาประตู, แจ้งเกิดเร็ว แต่เกือบหมดอนาคตโดนแบนยาวจากช็อตโดดถีบคู่แข่ง, กลับมาโลดแล่นกับหลายสโมสรใหญ่ ที่คละเคล้าไปด้วย สุข ทุกข์ จนเกือบหันหลังให้กีฬาลูกหนังบ่อยครั้ง, เจอโค้ชที่ใช่ในวัย 30+ และที่มาของการขึ้นมาปั้นฟรีคิกจนเป็นเครื่องหมายการค้า นอกเหนือจากลีลาป้องกันประตู SPSTH จะพาผู้อ่านไปเสพเรื่องราวชีวิตของ "ติ่ง" อดิศักดิ์ ดวงศรี ผู้รักษาประตูจอมเตะลูกนิ่งเจ้าของฉายา “ชิลาเวิร์ตเมืองไทย” จากทีมลำพูน วอริเออร์

 

 

เด็กจาก จ.อุบลราชธานี ที่วัยเยาว์อาจไม่ได้ถูกทางบ้านสนับสนุนเรื่องการไล่เตะฟุตบอลนัก เนื่องจากคุณแม่รับราชการครู ทำให้ ด.ช.อดิศักดิ์ ถูกให้ความสำคัญในเรื่องการเรียนเป็นหลัก อย่างไรก็ตามเขายังมีคุณลุงที่คอยส่งทีมฟุตบอลแข่งขันรายการในระดับ อบต. ทำให้ได้พอมีเวทีให้ได้โชว์ของอยู่บ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วแรกเริ่มเดิมที่ในวัย 14 อดิศักดิ์เล่นในตำแหน่งกองกลาง และฟูลแบ็ก ทว่าด้วยความบังเอิญ และโชคชะตาบางอย่างที่ส่งให้เขาถอยมารับบทผู้รักษาประตูจำเป็น และพอดีกับที่เกมนั้นมี จิรชัย เหล่าเลิศ อดีตผู้รักษาประตูสโมสรตำรวจมาชมเกมอยู่ด้วย ชักชวนสู่เส้นทางลูกหนังจริงจังนับแต่นั้น

 

จำได้ว่าวันนั้นผู้รักษาประตูไม่ได้มาแข่งขันขันครับ บวกกับผมไม่ค่อยสบาย ทำให้ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ผู้รักษาประตู เกมนั้นเราต้องพบทีมเจ้าภาพที่ต้องการชนะ เกมเป็นไปอย่างตึงเครียด หมดเวลาเสมอกัน 2-2 แต่ในเกมนั้นเราเสียจุดโทษ 4 ลูก แต่ผมเซฟได้ถึง 3 ลูก

 

ตอนนั้นโชคดีที่มี อดีตผู้รักษาประตูสโมสรตำรวจแล้วเป็นโค้ชผู้รักษาประตูของจังหวัดนนทบุรีก็เห็นแววก็เรียกผมเข้าไปคุยแล้วมีโอกาสได้ติดตัวจังหวัดอุบลราชธานีแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องเป็นผู้รักษาประตู จนโค้ชโยนถุงมือผู้รักษาประตูให้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางลูกหนังในตำแหน่งผู้รักษาประตู

 

ด้วยความที่เดิมเล่นในตำแหน่งผู้เล่นมาก่อน ทำให้เขามีทีเด็ดที่ลูกนิ่งด้วย โดย อดิศักดิ์ เผยว่า จริงๆ แล้วผมเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบยิงฟรีคิกอยู่แล้ว แล้วผมก็มี สิทธิศักดิ์ ชินนะมาตร รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอล จ.อุบล ที่มีชื่อเสียงพอสมควร คือเค้าเป็นคนยิงฟรีคิก ทุกจุด ทุกมุม เค้าสามารถยิงได้ดีซึ่งผมก็ได้ไปเลียนแบบวิธีการเตะของเค้าที่ไม่เหมือนคนอื่น นั่นคือจุดเริ่มต้นในการยิงฟรีคิกอย่างจริงจัง

 

อดิศักดิ์ กวาดความสำเร็จกับ จ.อุบล คว้าแชมป์เขต ไปเป็นตัวแทนภาคแข่งขันที่ จ.ตรัง และด้วยลีลาการเซฟที่โดดเด่นทำให้ชื่อของ อดิศักดิ์ ไปเข้าหูสถาบันขาสั้นชั้นนำ อาทิ กรุงเทพคริสเตียน, เทพศิรินทร์, สวนกุหลาบ ฯลฯ ที่ล้วนปรารถนาดึงเด็กอีสานรายนี้ไปปลุกปั้นต่อให้ได้

 

พอดีกับที่ รร.วัดสุทธิวราราม มีรุ่นพี่แถวบ้านอย่าง เผ่าพันธ์ ศรีสมพงษ์ คอยชักชวนครอบครัวให้ปล่อยตัว อดิศักดิ์ สู่เมืองหลวงลูกหนังไทย บวกกับ ผจก.เฉลียว พุ่มไสว ที่ให้ความสนใจในการดึงตัวเด็กคนนี้ไปร่วมสถาบันจริงจัง กระทั่งคุณแม่ยอมใจอ่อน ทำให้ในที่สุด อดิศักดิ์ ดวงศรี ในวัย 16 ปีก็ได้เข้ามาเรียน และเพิ่มพูนศาสตร์ลูกหนังต่อที่ รร.วัดสุทธิวราราม

 

 

ช่วงแรกที่มาถึง ยอมรับเลยว่าเราไม่เคยเจอการซ้อมหนัก เพราะเราเป็นลูกครู จะบอกว่าลูกคุณหนูหน่อยก็ได้ มันไม่ไหวจริงๆ จนโทรหาคุณแม่ร้องอยากที่จะกลับบ้าน แต่คุณแม่ก็บอกว่าถ้าเรากลับมาแบบนี้แม่ขายหน้านะ ทำให้เรากัดฟันสู้ต่อ ด้วยความที่ไม่ท้อ อดิศักดิ์ ดวงศรี ค่อยๆ ปรับตัวได้ดีขึ้น และก้าวขึ้นมาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ในทีมได้สำเร็จ แม้ต้องลงเล่นแบบข้ามรุ่นก็ตาม

 

เส้นทางลูกหนังของเด็กอุบล ดูสดใส เมื่อก้าวไปติดธง 18 ปีนักเรียนไทย, ทีมชาติไทย U19 ในยุคที่ อ.หรั่งชาญวิทย์ ผลชีวิน เป็นกุนซือ และจากนั้นได้โอกาสก้าวไปติดทีมชาติไทย ชุดปรีโอลิมปิค ในที่สุด โดยเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันก็มี ปรัชญ์ สมัคราษฎร์, ธีรเทพ วิโนทัย, กฤษกร เกิดผล, เฉลิมเกียรติ สมบัติปัน ฯลฯ

 

การไปติดทีมชาติไทยชุดนั้น เราได้เล่นกับนักเตะที่เดิมเรามีโอกาสได้ติดตามเขาทางทีวีเท่านั้น บวกกับการที่ได้ร่วมงานกับ วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ ที่ยิ่งทำให้เราดีใจ แน่นอนการที่เราไปได้ไกลอย่างรวดเร็ว ก็สร้างความรู้สึกที่พิเศษให้กับทางบ้าน คุณแม่เองก็ภูมิใจมากๆ ผมเองก็ไม่ได้คิดฝันว่าจะมาได้ขนาดนี้ มันเป็นอะไรที่พิเศษสุด

 

ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบเสียหมด เขาได้ทุนเรียนต่ออุดมศึกษาที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุกอย่างในชีวิตกำลังไปได้สวย ทั้งใน และนอกสนาม กระทั่งเหตุจากอารมณ์ชั่ววูบก็เบรกอนาคตลูกหนังเขาไปอย่างสิ้นเชิง แม้ในภายหลังโทษแบนจะได้ถูกลดลงเหลือ 2 ปี 6 เดือน จากการช่วยเหลือของผู้ใหญ่ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา, วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ และทำให้ อดิศักดิ์ ดวงศรี คืนสู่สังเวียนลูกหนังในที่สุด

 

ตอนนั้นกลับมาจากปรีโอลิมปิค มาแข่งดิวิชั่น 1 กับทีม จุฬา-สินธนา ในเกมที่ดวล ฉะเชิงเทรา ก็มีเรื่องชกต่อยกัน จนทำให้โดน ส.บอล ในตอนนั้นสั่งแบน 5 ปี ยอมรับเลยว่าตอนนั้นคิดว่าชีวิตฟุตบอลเราจบแล้ว มันเป็นตราบาปของผม แต่ระหว่างนั้นก็ยังเล่นให้สถาบันในอุดมศึกษา รวมถึงทำหลายๆ อย่าง ทำงานหลายๆ ที่ เปิดสอนฟุตบอลเด็กๆ  ฟรี บ้าง จนเรียนจบปริญญาโท ที่มหาวิทยาลับจุฬาฯ เอาเวลาว่างที่โดนแบนไปเรียน ทำงาน แต่ก็คลุกคลีกับฟุตบอลอยู่ตลอด

 

 

ช่วงที่โดนแบนไปก็ทำให้เราได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง การคุมอารมณ์ การแสดงออกในการรักเพื่อนมีหลายอย่างที่ไม่ใช้ความก้าวร้าว ความรุนแรงในสนาม ช่วงนั้นมีโอกาสได้สอนเด็กประถม ป.2 ป.3 ป.4 ที่เราต้องใช้ความใจเย็นมาก ซึ่งสวนทางกับพฤติกรรมที่เราแสดงออกในสนามวันนั้น มันทำให้เราตระหนักว่าเมื่อเราทำพลาดไปแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือแก้ไข และเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีกว่าเดิม

 

ช่วงที่พ้นโทษแบนก็มีหลายๆ ทีมติดต่อเข้ามา เช่น ตำรวจ, พีทีที ระยอง, บีอีซี เทโร แต่ทีมที่ผมเลือกคือ ทีทีเอ็ม พิจิตร เพราะซ้อมใกล้ด้วย บวกกับช่วงคาบเกี่ยวที่จะจบ ปริญญาโท ทางสโมสรก็อยากได้ตัวเราอย่างจริงจัง โทรหาเช้าเย็นๆ จนเรารับปากไปร่วมทีม ที่นี่ อดิศักดิ์ ได้ร่วมงานกับ อ.ประจักษ์ เวียงสงค์ ได้เพียง 1 เลก ด้วยผลงานที่ดี ทีโอที เอสซี ก็ซื้อตัวไปร่วมทีมก่อนจบปีนั้นชีพจรลงเท้าต่อด้วยการไปร่วมทีม แบงค็อก ยูไนเต็ด กับ น้าเหม่งประพล พงษ์พานิช ที่ อดิศักดิ์ ยอมรับว่าช่วงชีวิตที่นี่ทำให้เขาเหมือนเกิดใหม่ในโลกลูกหนังอีกครั้ง

 

ช่วงนั้นผลงานกับทีมดีมาก บวกกับตอนนั้นวงการฟุตบอลมันโตเร็วมาก ด้วยชื่อเสียงเงินทองที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้ชีวิตเราเริ่มที่จะสบายขึ้นก็เลยเริ่มหลงระเริงชีวิตวัยรุ่น เจอแสง สี เสียง แล้วคิดว่าเราเก่งเราแน่ ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

 

หลังจากน้าเหม่ง ลา แบงค็อก ไป ก็มีหลายสโมสรติดต่อมา แต่ท้ายสุดเป็น บีบีซียู ที่มี เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คุมทีมได้เลื่อนขึ้นมาไทยลีก ดึงตัวผู้รักษาประตูรายนี้ไปร่วมทีมสำเร็จ อย่างไรก็ตามการร่วมงานกับ ซิโก้สั้นกุด เมื่อร่วมงานได้ 3 เดือนทางอดีตกองหน้าจอมตีลังกาลาออก และอดิศักดิ์ ที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากนักก็ทำแบบเดียวกันคือเดินเข้าห้องผู้บริหารแล้วขอลาทีมทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงครึ่งฤดูกาลช่วงนั้นยอมรับว่าเราอีโก้สูง ไม่เป็นไรโค้ชออก เรามีเงินเยอะอยู่ก็ได้ไม่อยู่ก็ได้ ผมตัดสินใจเดินไปหาผู้ใหญ่ไปบอกว่าอยากจะย้ายทีม เพื่อโอกาสลงเล่นมากกว่านี้ ซึ่งผู้ใหญ่ก็ยินดี

 

 

เป็น พีทีที ระยอง ที่รับช่วงต่อดึง อดิศักดิ์ ในวัย 26-27 ไปร่วมงาน ชีวิตก็ยังคงหลงแสงสีไปกับเมืองท่องเที่ยว และร่วมงานกันได้ไม่นานนักเรื่องราวก็วนลูบกลับมาไม่ได้ต่างจากเดิมเขาเลือกไม่ขออยู่ต่อกับทัพ พลังเพลิงเขาเดินทางไปซบ ภูเก็ต เอฟซี ที่นี่เองที่ทำให้เขาเหมือนจะหลุดไปจากวงจรนักเตะอาชีพจริงๆ เมื่อเขาเปรียบดั่งหิ้งห้อย ที่บินหาแสงสีแบบไม่กริ่งเกรงใดๆ

 

ที่นี่ยิ่งไปอยู่เมืองท่องเที่ยวฟุตบอลก็เริ่มที่จะไม่อยู่ในสมองแล้ว คือเราซ้อมบอลตามหน้าที่ โดยที่ไม่คิดหวังว่าจะลงเล่นแล้ว ทุกอย่างดูย่ำแย่ไปหมด กระทั่งได้พบผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่วยเตือนให้เรากลับมาสู่เส้นทางอีกครั้ง ผมก็เริ่มมองไปถึงอนาคตแล้วเริ่มคิดได้ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองใหม่ โดยมีผู้หญิงคนนี้เป็นแรงบรรดาลใจ เป็นแสงนำทาง แล้วฟุตบอลก็เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอีกครั้ง

 

หลังจบปีนั้น การท่าเรือ ที่มี ดุสิต เฉลิมแสน คุมบังหียนอยู่ติดต่อเข้ามา แต่ ประมุข อัจฉริยะฉาย ปธ.ภูเก็ต เอฟซี ยืนยันว่าต่อให้ได้ค่าตัว 3 ล้านบาท ก็ไม่ปล่อยผู้รักษาประตูรายนี้เด็ดขาด นั่นเองทำให้ อดิศักดิ์ เริ่มตระหนักถึงคุณค่าตัวเองจริงจัง เขากลับมาโฟกัสกับหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าผลงานในขวบปีที่ 2 ก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอย จบปีนั้น สิงห์เจ้าท่าก็ส่งเทียบเชิญมาอีกครั้ง และอดิศักดิ์ ก็ได้ย้ายมาสู่แพท สเตเดียม ในที่สุด

 

อย่างไรก็ตามการร่วมงานกับ น้าฉ่วยสมชาย ชวยบุญชุม ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนัก เมื่ออาการบาดเจ็บเข้ามาหาเขาต่อเนื่องจนทำให้โอกาสลงเสาต่อเนื่องไม่ได้มีมากนัก ทำให้เป็น ทีโอที เอสซี ที่มีอดีตกุนซือภูเก็ต เอฟซี อย่าง รอยเตอร์ โมโรร่า คุมทีมอยู่ยืมไปร่วมทีม ที่ทัพ ฮัลโหลเขากลับมาลงเฝ้าเสาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างไรก็ตามปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของทีมก็ทำให้ อดิศักดิ์ สภาพจิตใจดำดิ่งอีกครั้ง

 

 

ฟุตบอลมันไม่เหมือนเดิม เราเงินเดือนเยอะ แต่ไม่ได้เงิน มันก็เริ่มบั่นทอนตัวเองแล้วก็กลับไปเที่ยวอีก ไม่อยากซ้อมบอลแล้ว มีความคิดว่าจะซ้อมไปทำไมซ้อมไปแล้วก็ไม่ได้เงินเดือน เลยกลับมาหลงแสง สี เหมือนเดิม เราก็มีภาระต่างๆที่จำเป็นจะต้องใช้เงิน ทำให้เงินเก็บที่สะสมมาร่อยหรอลงไป

 

จบปีนั้น ทีโอที เอสซี ตกชั้น แต่ผลงาน อดิศักดิ์ ยังขายได้ เป็น อุบล ยูเอ็มที ภายใต้การคุมทีมของ สกอตต์ คูปเอร์ ที่ดึงตัวไปร่วมงาน ในถิ่น เทพอินทรีเขากลับมามีไฟอีกครั้งเมื่อได้กลับมาเล่นให้กับทีมในถิ่นบ้านเกิด เขากลับมาซ้อม มาเล่นฟุตบอลด้วยความสุข อย่างไรก็ตามเหมือนโชคชะตาไม่ได้เข้าข้าง ขวบปีนั้น ยูเอ็มที ประสบปัญหาการเงินพอดี จนท้ายสุดมีการยกเลิกสัญญากันไป

 

อดิศักดิ์ หายไปจากวงการลูกหนัง 6 เดือน ก่อนกลับมาร่วมทีม สงขลา ยูไนเต็ด อีกครั้ง ทว่าก็เป็นอีกครั้งที่ต้องพบความผิดหวังแบบซ้ำซ้อน 3 ครั้งติด เมื่อทีมดังแดนใต้ก็ประสบปัญหาการเงินอย่างหนักจนเขาเลือกลาทีม ปลีกวิเวกกลับสู่ภูเก็ต และเปิดอะคาเดมี่สอนลูกหนังบรรดาเด็กๆ ร่วมกับ จารุพงศ์ สังข์พงษ์ 

 

 

เหมือนเส้นทางลูกหนังจะยุติไว้เท่านี้ แต่ก็เป็น จงสฤษดิ์ วุฒิช่วย ที่เข้ามาชักชวนผู้รักษาประตูมากประสบการณ์รายนี้คือสังเวียนอีกครั้งกับ บ้านบึง ภูเก็ต ซิตี้ แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องพบปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ จนท้อใจ อย่างไรก็ตามอีกมุมหนึ่ง เขาก็ค้นพบว่า โค้ชปอนด์จงสฤษดิ์ คนที่ดึงเขากลับมาไม่ได้ทิ้งทีมไปไหน และเป็นทุกส่งทุกอย่างที่นอกเหนือจากการเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีม ทำให้เขาเลือกอยู่สู้กับทีมจนจบปีนั้น และหนีบกันมาร่วมทีม ลำพูน วอริเออร์ กันตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนปัจจุบัน

 

ซึ่งในขวบปีที่ผ่านมาพวกเขาก็เฉียดใกล้กับเป้าหมายในการเลื่อนชั้นมากๆ แม้ท้ายฤดูกาลจะไปแผ่วจนหลุดวงโคจรก็ตาม ปี 2020 อดิศักดิ์ ยังคงอยู่ค้าแข้งกับ ราชันโคขาวรวมทั้งอาวุธลับจากลูกนิ่งฟรีคิก และจุดโทษ ยังคงทำงานสม่ำเสมอ เหมือนอย่างในปีที่ผ่านมา ที่เขารับอาสาขึ้นมาซัดฟรีคิกในนาทีสุดท้ายของเกมกับ อ่างทอง เอฟซี และเป็นประตูโทนในเกมดังกล่าวด้วย โดยนับจนถึงปัจจุบัน อดิศักดิ์ เผยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำประตูจากลูกฟรีคิกได้ แต่หากนับย้อนกลับไป เขาก็ทำได้แล้วต่ำกว่า 10 ประตู จนได้รับฉายา ชิลาเวิร์ตเมืองไทยที่สร้างสีสันให้กับวงการลูกหนัง

 

 

บนวัย 35 ปี อดิศักดิ์ ผ่านช่วงชีวิตมาครบทุกรสชาติ ทั้งการก้าวขึ้นสู่สปอร์ตไลค์อย่างรวดเร็ว โดน ส.บอล แบนจากวงการลูกหนัง หลงแสงสีจนเกือบทิ้งอาชีพ และปัญหาเงินๆ ทองๆ กับหลายๆ ต้นสังกัด โดยเขายึดคติที่ใช้นำทางชีวิต คือ ไม่มีดีที่สุด ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าน่าจะ ไม่มีคำว่าควรที่จะ แต่สิ่งที่เราจะทำต้องทำให้ดีกว่าเดิมทำเท่ากับที่เราทำได้ ซึ่งด้วยอายุอานามที่ไม่น้อย แต่เขายังไม่ได้เลือกคิดแขวนถุงมือในเวลานี้

 

ขอบคุณภาพ Lamphun Warriors